สมัครบัตรเครดิต ปัจจุบันนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับบัตรเครดิต รูปแบบของบัตรเครดิตผลิตภัณฑ์ทางการเงินคืออะไร? คำถามที่หลายคนอยากรู้เป็นพิเศษคือเมื่อตัดสินใจซื้อบัตรเครดิตใบแรก บัตรเครดิตออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณชำระเงินได้ทุกอย่าง ไม่ใช่เงินสด ช่วยให้คุณซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และยืดหยุ่น เรียกได้ว่าเป็นบัตรที่ตอบโจทย์การบริโภคของคนยุคใหม่ด้วย รวมโปรโมชั่นจากธนาคารหรือสถาบันการเงินและพันธมิตรต่างๆ ถึงเลือกผ่อน 0%
บัตรเครดิตคืออะไร สมัครบัตรเครดิต อย่างไร?
บัตรเครดิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรายืมเงินจากธนาคาร หรือสถาบันการเงินเพื่อบริโภคสินค้าหรือบริการอื่นใดนอกจากวงเงินการใช้เงินสดไม่เกินจำนวนที่สถาบันการเงินอนุมัติหรือกำหนด เราต้องจ่ายคืนขั้นต่ำให้เต็มทีหลังหรือผ่อนชำระ ทุกวันนี้ บัตรเครดิตมีหลายรูปแบบ
ข้อดีของบัตรเครดิต
- 1. สามารถพกพาได้ง่ายๆ และสะดวกในการใช้งาน
- 2. สามารถซื้อสินค้าที่ต้องการหรือสนใจได้ทันที และยังมีโอกาสนำเงินไปลงทุน หรือเก็งกำไรต่อไป
- 3. สามารถทำการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามรอบบิล อาทิ ค่าโทรศัพท์ ค่าไฟ หรืออินเทอร์เน็ต
- 4. ได้รับส่วนลดในการใช้ซื้อสินค้าต่างๆ และก็ยังจะสามารถสะสมเป็นคะแนนในบัตร เพื่อนำไปซื้อสินค้าหรือแลกของต่างๆ
- 5. ไม่จำเป็นต้องจ่ายชำระคืนเต็มจำนวนในครั้งเดียวสามารถทยอยจ่ายคืนได้ โดยขั้นต่ำที่ต้องชำระคืน คือ 10% ของค่าใช้จ่ายที่ใช้ไป
- 6. สามารถถอนเงินสดออกมาจากบัตรเครดิตได้ในกรณีที่เรามีเงินสดไม่พอ อาทิ เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เป็นต้น
- 7. สามารถใช้จ่ายในต่างประเทศได้ ทำให้ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมากๆ
- 8. สามารถเลือกผ่อนจ่ายสินค้า ในอัตราดอกเบี้ย 0 % ได้
ประเภทของบัตรเครดิต
บัตรเครดิต สามารถแบ่งตามขอบเขตการใช้จ่าย และรูปแบบการใช้บัตรได้ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. บัตรเครดิตที่ใช้ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (International Credit Card)
ประเภทของบัตรเครดิตที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ที่ให้คุณสามารถใช้ชำระเงินได้ทั้งในประเทศ และใช้จ่ายในต่างประเทศ เช่น บัตร Visa บัตร MasterCard และบัตร American Express เป็นต้น
2. บัตรเครดิตที่ใช้ได้เฉพาะในประเทศ (Local Credit Card)
บัตรเครดิตที่คุณสามารถใช้ได้เฉพาะในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว โดยผู้ออกบัตรคือ สถาบันการเงินไทย หรือธนาคารในประเทศไทย ซึ่งบัตรเครดิตประเภทนี้จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
3. บัตรเครดิตเฉพาะร้านค้า (Store Card หรือ Private Label card)
รูปแบบของบัตรเครดิตที่ใช้เฉพาะเจาะจงในแต่ละร้านค้าเท่านั้น เช่น บัตรเครดิตเคทีซี บางกอก แอร์เวย์ วีซ่า แพลทินัม, บัตรเครดิตเคทีซี บิ๊ก คาเมร่า วีซ่า แพลทินัม หรือบัตรเครดิตเคทีซี โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น โดยอาจมีในส่วนของสิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ถือบัตรฯ เพื่อการใช้จ่ายที่คุ้มค่ากับร้านค้านั้นๆ ให้มากยิ่งขึ้น

เครือข่ายการชำระเงินบัตรเครดิต
1. บัตรเครดิต Visa
ถือเป็นบัตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีทั้งในรูปแบบของบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ให้คุณมั่นใจว่าคุณสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตวีซ่าได้อย่างสะดวกสบายและครอบคลุมทั่วโลก ทั้งร้านค้าและบริการต่างๆ ที่รองรับบัตรวีซ่า ไปจนถึงการใช้บริการตู้เอทีเอ็มที่ให้คุณสามารถกดเงินได้ครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
2. บัตรเครดิต MasterCard
อีกหนึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกัน พร้อมรูปแบบการให้บริการทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรพรีเพด แต่มีการรองรับการใช้งานจากร้านค้าที่มากกว่าบัตรวีซ่า นอกจากนี้ประโยชน์ในการใช้งานต่างๆ แทบไม่ต่างกับบัตรวีซ่า ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณสามารถใช้จ่ายได้ทุกที่ที่มีเครื่องหมาย MasterCard
3. บัตรเครดิต JCB
บัตรเครดิต JCB คือ ผู้ให้บริการเครือข่ายจากประเทศญี่ปุ่น อีกหนึ่งบัตรที่มีคนสนใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งในปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่ยังเปิดให้สามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิต JCB ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้บัตร JCB มักจะมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักโรงแรม การซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น บริการต่างๆ ในสนามบิน บัตรนี้ตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
4. บัตรเครดิต UnionPay
ผู้ให้บริการจากประเทศจีน ที่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง ซึ่งมีร้านค้าในประเทศไทยที่รับการชำระผ่าน UnionPay อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ยังมอบสิทธิประโยชน์ทั้งการใช้จ่ายที่ประเทศจีน มาเก๊า ไต้หวัน ฮ่องกง ทั้งสำหรับการเดินทางหรือการใช้จ่ายในประเทศนั้นๆ รวมถึงการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยสกุลเงินของประเทศดังกล่าว

เตรียมพร้อมก่อนสมัครบัตรเครดิต
1. เช็กเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
บัตรเครดิตแต่ละใบ ธนาคารจะกำหนดเงื่อนไขการสมัครที่ชัดเจน ควรเช็กให้แน่ใจก่อนว่าคุณสมบัติเราตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ อย่างเช่น อายุของผู้ทำบัตรเครดิต อายุงาน ฐานเงินเดือนขั้นต่ำ เพราะธนาคารจะพิจารณาความมั่นคงของรายได้เป็นหลัก หากเป็นพนักงานประจำก็มีโอกาสสูงที่จะผ่านการอนุมัติ เพราะมีรายได้ที่แน่นอน ส่วนคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า ฟรีแลนซ์ เจ้าของธุรกิจ หากมีการเดินบัญชีรายเดือนเป็นประจำติดต่อกัน 6 เดือนขึ้นไป ก็สามารถยื่นเพื่อขอพิจารณาได้เช่นกัน
2. เช็กประวัติเครดิตบูโรของตัวเอง
การเช็กประวัติทางการเงินกับสถาบันเครดิตบูโร จะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าเรามีประวัติทางการเงินที่ดี นั่นก็คือมีประวัติจ่ายหนี้ครบ จ่ายตรงเวลา มียอดหนี้ค้างจำนวนไม่มาก ยิ่งถ้าไม่เคยติดบูโรเลย ก็ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะผ่านการอนุมัติ เราจึงควรเช็กประวัติตัวเองให้แน่ใจก่อน จะได้รู้สถานะตัวเองว่าสมัครบัตรเครดิตได้หรือไม่ จะได้ไม่เสียเวลา
3. กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน และชัดเจน
การสมัครบัตรเครดิตมีข้อมูลที่ต้องกรอกเยอะมาก เพราะฉะนั้นควรกรอกให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช็กความเรียบร้อยให้ดี หากกรอกข้อมูลผิดเยอะเกินไป แนะนำให้กรอกใหม่เลยจะดีกว่า เพื่อป้องกันความสับสน ซึ่งหากมีข้อมูลส่วนไหนผิดพลาด ตกหล่น ไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่ก็จะติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม หากเขียนเบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ผิด เจ้าหน้าที่ก็จะติดต่อไม่ได้ อาจทำให้ขั้นตอนการพิจารณาบัตรเครดิตล่าช้าออกไป หรือในบางครั้งก็อาจจะถูกปฏิเสธการเปิดบัตรเครดิตได้
4. เตรียมเอกสารให้พร้อม
ในขั้นตอนนี้ ต้องเช็กลิสต์ให้ดีว่าธนาคารต้องการเอกสารอะไรบ้าง อย่างเช่น สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองรายได้ สลิปเงินเดือน Statement และอื่นๆ แล้วแต่ธนาคารกำหนด ซึ่งหากเตรียมเอกสารครบถ้วน เซ็นชื่อถูกต้อง ก็มีโอกาสที่จะผ่านการอนุมัติบัตรเครดิตเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมนั่นเอง