จ่ายภาษี ภาษีเงินได้บุุคคลธรรมดา คือภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยงานที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด ตามปกติการจ่ายภาษีจะทำเป็นรายปีตามรายได้ที่เกิดขึ้นในปีนั้น ๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำรายการรายได้ของตนเองไปแสดงตามแบบรายการภาษีที่กำหนด ภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป ในบางกรณีผู้มีเงินได้ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดสามารถยื่นแบบการเสียภาษีแบบครึ่งปี เพื่อบรรเทาภาระภาษีที่ต้องชำระ และบางกรณีกฎหมายกำหนดให้นายจ้างทำหน้าที่หักภาษีณ ที่จ่ายจากเงินที่จ่ายให้ลูกจ้างบางส่วน เป็นการทยอยการชำระภาษีขณะที่มีเงินได้นั่นเอง
ผู้ที่มีหน้าที่ จ่ายภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา
ผู้มีหน้าที่จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือผู้ที่มีเงินได้แกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- บุคคลธรรมดา
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
- ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
- กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
- วิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล

ที่มาของรูปภาพ www.pixabay.com/th/illustrations/กุญแจมือ-ธนบัตร-ดอลลาร์-ใส่กุญแจมือ-3748614/
ผู้ที่ต้องยื่นจ่ายภาษี
คนไทยที่มีรายได้ทุกคนต้อนยื่นแบบจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้ว่าจะได้รับการยกเว้นการเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้
- คนไทยทุกคน ในกรณีที่โสด มีรายได้ และเงินได้มากกว่า 120,000 บาทต่อปี หรือเฉลี่ยรายเดือน ๆ ละ 10,000 บาท ต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี
- คนไทยทุกคน กรณีที่สมรสแล้ว มีรายได้ และเงินได้มากกว่า 220,000 บาทต่อปี หรือเฉลี่ยรายเดือน ๆ ละ 18,333 บาท ต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ คือการนำแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ที่กำหนดโดยกรมสรรพากรมากรอกรายละเอียด พร้อมแนบหลักฐานรายได้ประจำปี รวมทั้งหลักฐานการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เพื่อนำไปยื่นชำระภาษี ตามช่องทางที่กรมสรรพากรกำหนดไว้
ทำความรู้จัก ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 แตกต่างกันอย่างไร
แบบฟอร์มสำหรับยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามี 2 แบบ ได้แก่
- ภ.ง.ด.90 สำหรับผู้มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือน เช่น ดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุน ค่าเช่าบ้าน เงินปันผล เป็นต้น
- ภ.ง.ด.91 สำหรับผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือน ไม่มีรายได้อื่น ๆ เสริม เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยประชุม เป็นต้น
เอกสารยื่นประกอบการจ่ายภาษี
การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมีการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อใช้คำนวณอัตราการจ่ายภาษี หรือเพื่อลดหย่อนภาษี ดังนี้
- หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) หรือการจ่ายภาษีที่นายจ้างหักในตอนที่จ่ายเงินเดือนแล้ว
- รายการลดหย่อนภาษีของปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา
- เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษี เช่น ใบเสร็จการชำระเบี้ยประกันชีวิต หรือเอกสารการซื้อกองทุน RMF เป็นต้น
นอกจากเอกสารเหล่านี้ ในการจ่ายภาษีจะมีอัตราการขอลดหย่อนภาษีประกอบไปด้วย
- ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว ได้แก่
- ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท (กรณีคู่สมรสไม่มีรายได้)
- ค่าลดหย่อนฝากครรภ์ และคลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท ต่อการตั้งครรภ์ 1 ครั้ง
- ค่าลดหย่อนภาษีบุตร คนละ 30,000 บาท ต้องเป็นบุตรตามกฎหมาย หรือบุตรบุญธรรม และบุตรมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรือไม่เกิน 25 ปี
- ค่าลดหย่อนกรณีเลี้ยงดูบิดามารดาของตน และของคู่สมรส สูงสุดไม่เกิน 4 คน ได้ลดหย่อน 30,000 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท โดยบิดามารดาต้องมีอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท
- ค่าอุปการะผู้พิการ หรือทุพพลภาพ 60,000 บาทต่อคน ผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ รวมถึงมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะ
- ค่าลดหย่อนการจ่ายภาษีจากการทำประกัน การลงทุน และเงินออม
- เงินสมทบเข้าประกันสังคม ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,100 บาท
- การทำประกันชีวิตทั่วไป ประกันสะสมทรัพย์ ประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องรวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- การทำประกันสุขภาพให้บิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
- เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF สามารถลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF ใช้ลดหย่อนการจ่ายภาษีได้ 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข., กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริง สูงสุดปีละ 13,200 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มการลงทุนทั้งหมดรวมกัน ลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท
- กรณีเงินบริจาค
- เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้ เมื่อหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การพัฒนาสังคม การกีฬา การบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะ และการบริจาคเพื่อโรงพยาบาลของรัฐ ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินบริจาคที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว
- เงินบริจาคให้พรรคการเมือง ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10,000 บาท
- ค่าลดหย่อนภาษีที่อยู่อาศัย สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย มาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

ที่มาของรูปภาพ www.pixabay.com/th/illustrations/ภาษีมูลค่าเพิ่ม-ค่าเพิ่มภาษี-เอกสาร-4184607/
ค่าปรับกรณีลืมจ่ายภาษี
กรณีจ่ายภาษีเกินวันที่กำหนดในแต่ละปี จะต้องเสียค่าปรับดังนี้
- ไม่เกิน 7 วัน เสียค่าปรับการจ่ายภาษีตามจริง แต่ไม่เกิน 2,000 บาท
- เกิน 7 วัน เสียค่าปรับการจ่ายภาษีตามจริง แต่ไม่เกิน 2,000 บาท และมีดอกเบี้ย 15% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องจ่าย
นอกจากภาษีเงินได้ ยังการจ่ายภาษี อีก 2 แหล่ง คือ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่เก็บจากบริษัท หรือนิติบุคคลรูปแบบต่าง ๆ ที่ในปัจจุบันมีอยู่ราว 1.5 แสนแห่ง
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เรียกกันว่า VAT (value-added tax) เป็นการจ่ายภาษีโดยทุกคนที่ซื้อสินค้า หรือใช้บริการจากร้านค้าต่าง ๆ เพราะจะมีการบวก VAT ไว้ในราคาสินค้าและบริการนั้น ๆ แล้ว
- ภาษีอากรประเภทอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ภาษีสินค้านำเข้า – ส่งออก เป็นต้น
ดังนั้นการจ่ายภาษีจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนในประเทศไทยจะต้องดำเนินการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ

ที่มาของรูปภาพ www.pixabay.com/th/photos/เครื่องบันทึกเงินสด-เครื่องพิมพ์-5610295/